[Ep.16] ขั้นตอนกการทำร้านฮาร์ดแวร์สะดวกซื้อแบบมืออาชีพ (ตอนที่4) เลือกสินค้า

ตอนที่ 4 เลือกสินค้าเข้าร้านฮาร์ดแวร์แบบคุ้มสุดๆ

ที่พูดว่าคุ้มสุดๆเพราะ ต้องใช้เงินจำนวนน้อย แต่ได้สินค้าหลากหลายมากๆ

ในขั้นตอนนี้จะใช้มี 4 ข้อ 1. ขายอะไรบ้าง 2. เลือกยังไง 3. เลือกเท่าไร 4. ซื้อที่ไหน

1. ขายอะไรบ้าง คือ เริ่มต้องคิดก่อนว่าจะขายสินค้าในหมวดไหนบ้าง เช่น หมวดประปา หมวดไฟฟ้า หมวดเครื่องมือช่าง หมวดสี หมวดน็อตสกรู หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดเหล็ก หมวดไม้ หมวดอะไหล่รถ หมวดอิเลคทรอนิกส์ หมวดโรงงาน หมวดเกษตร ฯลฯ เพื่อตีกรอบสินค้าที่จะมีภายในร้าน เป็นภาพกว้างสุด

2. เลือกยังไง ทำการแบ่งสินค้าเป็นกลุ่ม หากมีงบมากก็นำเข้ามาขายทุกกลุ่ม เพราะยิ่งมีของขายเยอะ ก็ยิ่งขายได้เยอะ ก็ยิ่งกำไรเยอะ หากมีงบน้อยก็ค่อยๆทยอยเข้าสินค้าไปตามลำดับ เป็นข้อๆดังนี้

สินค้าขายดี : สินค้าที่หมุนเวียน เสียง่าย ต้องเปลี่ยนบ่อย ใช้แล้วหมดไป เช่น ท่อพีวีซี อุปกรณ์ท่อ ก๊อกน้ำ เทป กาว ใบเลื่อย แผ่นตัด
สินค้าต้องมี : สินค้าที่พอพูดถึงสินค้าเหล่านี้แล้วรู้แน่ๆว่า ที่ร้านฮาร์ดแวร์ต้องมีขาย ถังปูน อ่างเปล บันได ตลับเมตร ค้อน ไขควง
สินค้าที่ใช้คู่กัน : สินค้าที่เมื่อขายตัวนึง ก็ต้องมีอีกตัวด้วย เช่น ขายท่อพีวีซี ก็ต้องมี กรรไกรตัดท่อ ใบเลื่อย ขายสี ก็ต้องมีแปรงทาสีพ่วงด้วย ขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ก็มีดอกสว่าน คีม พ่วงด้วย
สินค้าสำหรับคนพื้นที่ : สินค้าที่เป็นอาชีพที่นิยมของคนในพื้นที่นั้นๆ เช่น มีช่างทำรองเท้าอยู่มากก็จะใช้ตะปูที่เป็นขนาดไซด์เล็กๆ ซึ่งไม่ใช่ไซด์ปกติที่ทุกร้านจะมีขาย หรือมีชาวสวนเยอะก็จะเป็นสินค้าเกษตรเยอะ
สินค้าที่หายาก : สินค้าที่ร้านอื่นไม่มีขาย ส่วนใหญ่แล้วสินค้ากลุ่มนี้จะเหมาะกับร้านที่มีทุนมากระดับนึง เช่น ลงอุปกรณ์ท่อครบทุกขนาด ไซด์พิเศษ เพื่อรองรับงานราชการด้วย
สินค้าตามเทรนด์ : สินค้าที่เพิ่มเข้ามาขายเพื่อให้ร้านดูน่าสนใจ จัดเป็นมุมเพิ่ม เช่น หลอดไฟสังฆทาน ช่วงหน้าเข้าพรรษา เสื้อกันฝนช่วงหน้าฝน หน้ากากกันฝุ่นช่วงที่ PM2.5 ระบาด

3. เลือกเท่าไร สินค้าแต่ละตัวควรจะลงจำนวนเท่าไร จะมีผลทำให้เกิดกำไรสูงสุดได้ต่างกันโดยสิ้นเชิง สินค้าบางประเภทออกบ่อยควรมีจำนวนไว้ให้เพียงพอต่อการขาย แต่สินค้าบางตัวนานๆจะขายได้ ก็ไม่ต้องลงเยอะเกินไป แต่ก็ต้องมี ซึ่งคำว่าน้อยหรือมากของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก การใส่จำนวนผิดจะทำให้พลาดโอกาสการขาย และเกิดเหตุจมทุนได้เลย อาทิ เงิน 1แสนบาท บางคนอาจจะได้แค่ 30 รายการ แต่บางคนสามารถเลือกได้ถึง 100 รายการ เพียงเพราะการให้น้ำหนักในสินค้าที่ต่างกัน สำหรับโยจิเอง มีการเก็บข้อมูลจำนวนสินค้าที่ขายได้แต่ละตัวในแต่ละเดือน จึงทำให้สามารถจัดจำนวนสินค้าได้อย่างพอเหมาะ และใช้ระบบเพื่อควบคุมการรายงานสินค้าขั้นต่ำเมื่อถึงจำนวนที่ต้องสั่งก็จะออกรายงานสินค้าถึงจุดต่ำสุดเพื่อทำการสั่งซื้อครั้งต่อไปได้เลย

4. ซื้อที่ไหน สินค้าประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วจะมีเซลส์วิ่งไปที่ร้าน แต่หากเราเพิ่งเปิดก็อาจจะยังไม่มีเซลส์ ก็สามารถหาข้อมูลซัพพลายเออร์จากในอินเตอร์เน็ตก่อน โดยเทียบหลายๆร้าน เพื่อเลือกร้านที่ดีที่สุด ทั้งด้านราคา และบริการ แต่สำหรับร้านนี้โยจิมีสินค้าเองอยู่แล้วจึงเข้าสินค้าของเราทั้งหมด